เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานก็มีมาหานะ ลูกศิษย์เป็นกลุ่มเลย เรียนพุทธศาสน์บัณฑิตปริญญาเอก ปริญญาเอกพอมาคุยนี่มันคุยง่ายไง เราบอกเลยความคิดความเห็นของเขา เห็นไหม เขาศึกษามามันเป็นสมมุติหมดเลย มันเป็นเรื่องโลกนะ ถ้าเรื่องของโลก ถ้าเราคิดไง

นี่เรามีการศึกษา เรามีปัญญามาก พูดออกมาเป็นเรื่องของโลกๆ เห็นไหม พูดธรรมะนะ พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเขาศึกษาพุทธศาสน์ พูดถึงธรรมวินัยนี่เข้าใจหมดเลย รู้ไปหมดเลย แต่รู้เรื่องโลกๆ เพราะใจเขาเป็นโลก แต่เวลาพ่อแม่ครูจารย์ของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านพูด นี่พูดเรื่องโลกนะ เรื่องความเป็นอยู่ ศีล ๕ มี ๒๐ ผัว ๓๐ เมีย นั่นเรื่องอะไร? เรื่องโลกทั้งนั้นเลย ทำไมมันเป็นธรรมล่ะ?

มันเป็นธรรมเพราะใจเป็นธรรม ใจของครูบาอาจารย์เป็นธรรม พูดออกมาจากหัวใจที่เป็นธรรม เห็นไหม หัวใจที่เป็นธรรม พูดออกมาแต่ธรรมล้วนๆ แต่หัวใจที่เป็นโลก พูดธรรมมันก็เป็นโลก หัวใจที่เป็นโลกพูดธรรมะ พูดถึงสื่อสารธรรมะหมดเลย แต่เป็นเรื่องของโลกหมดเลย เพราะอะไร? เพราะมันไม่เข้าใจจากหัวใจอันนั้น เวลาเราพูดนี่มือของเราหยิบอะไร? มือของเราหยิบจับสิ่งของสิ่งใด เราบอกเราจะล้างมือๆ ที่จับสิ่งของนั้น เราเข้าใจว่าเราล้างสิ่งของนั้นเป็นการว่าล้างมือ

ความคิดไม่ใช่จิต พอความคิดนี่ความคิดของเรา ถ้าความคิดของเราเกิดขึ้นมา ความคิดมันคืออะไร? ความคิดนี่เป็นความรู้สึกไหม? ความรู้สึกเป็นตัวใจนะ ความคิดเป็นความคิดอันหนึ่ง แต่เวลาศึกษาขึ้นมานี่ ศึกษาว่ารู้ธรรมๆ เห็นไหม รู้ภาษาแต่ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย เพราะพระไตรปิฎกเหมือนตำราทำอาหาร อาหารจะไม่ออกมาจากตำราอาหารนั้น ตำราอาหารจะไม่มีอาหารออกมาแม้แต่จานเดียว ในตำราอาหารนั้นจะไม่มีอาหารออกมาเลย ไม่มี!

ตำราอาหารนั้น ศึกษามาแล้วเรามาฝึกหัดการทำอาหาร อาหารจะออกมาจากการกระทำ อาหารไม่ออกมาจากตำรานั้น แต่ตำรานั้นเป็นวิชาการ เป็นการสอน วิชาการนี่เห็นด้วยนะ ปริยัติ เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางปริยัติ ปฏิบัติเอาไว้.. ปริยัติ ปฏิบัติ ทำไมไม่เอาปริยัติ ปฏิบัติรวมกัน ให้ฝึกสอนเหมือนกัน

เพราะว่าเวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม นี่ท่านเป็นมหามา เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็ศึกษามาแล้ว ศึกษามาโดยภาคประพฤติปฏิบัติของท่าน ศึกษามาโดยการค้นคว้าของท่าน เวลาลูกศิษย์มานี่บอกเลยบอกว่า

“สิ่งที่เรียนมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชิดชูไว้เหนือศีรษะ”

เชิดชูไว้นะ เพราะเราประพฤติปฏิบัติ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย.. รัตนตรัยนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เห็นไหม เราถึงไตรสรณคมน์

พระพุทธ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม

ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่มีรัตนะ ๒

พระสงฆ์ นี่บรรลุธรรมขึ้นมา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นศาสดาของเรา เป็นที่พึ่งอาศัย เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา เราเคารพบูชาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แต่ผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตมหาศาลนะ บอกเลย

“นี่เรียนมามหาศาลจนเป็นถึงมหา ให้เอาความรู้ที่ศึกษามานั้นใส่ไว้ในลิ้นชักก่อน แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา เดี๋ยวมันจะมาเตะ มาถีบกัน”

คำว่ามาเตะ มาถีบกัน คือความเห็นมันขัดแย้งกันไง ระหว่างโลกกับธรรม เวลาปฏิบัติมันจะขัดแย้งกัน หัวใจเราเป็นโลก แต่เราไปจำธรรมะมา มันมีความขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงของมัน ถึงต้องวางอันใดอันหนึ่งของมัน เวลาศึกษานี่เราศึกษาเพื่อความรู้หมดเลย เห็นไหม เราศึกษาทางปริยัติ ศึกษามาเพื่อความเข้าใจ

ความเข้าใจ เห็นไหม ความศรัทธา ความเชื่อ.. ความศรัทธา ความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์ แต่ความศรัทธา ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ถ้าเราเชื่อนะ ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ภิกษุนะห้ามอดอาหาร ใครอดอาหาร พระพุทธเจ้าห้ามอดอาหารนะ ห้ามไว้เพราะอะไร? ห้ามไว้เพราะคนมันโง่ ถ้าบอกว่าการอดอาหารนี้เป็นของประเสริฐ การอดอาหารนี้มันจะเป็นการบรรลุธรรมนะ คนนี่ตายมหาศาลเลย ลูกศิษย์ลูกหาจะอดอาหารตายเป็นเบือเลย

ท่านบอกห้ามอดอาหาร! เพราะคนมันโง่ ความคิดโง่ๆ มันคิดหน้าเดียว คิดชั้นเดียว คิดวิทยาศาสตร์คิดเป็นชั้นเดียวไง

“เราห้ามอดอาหาร แต่ถ้าใครอดอาหารเพื่อเป็นอุบายวิธีการเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราตถาคตอนุญาต”

ถ้าเป็นอุบาย คนที่เป็นคนฉลาด คนที่มีอุบาย เวลาเรานั่งสมาธิภาวนากัน เห็นไหม ทุกคนมาจะบอกว่า “นี่หลวงพ่อ นั่งแล้วมันมีปัญหามาก อยากจะมีความสงบของใจ อยากมีความสงบของใจ” เราอยากได้แต่ผล นี่โลกๆ ศึกษาธรรม โลกๆ ปฏิบัติธรรม

แต่ถ้าโลกๆ ปฏิบัติธรรม เห็นไหม เราเห็นเลยนะ นี่เวลาเรานั่งสัปหงกโงกง่วง เวลานั่งทำไมขาดสติ สติเรามันกดถ่วงไว้ ธาตุขันธ์ทับจิต.. ธาตุขันธ์มันเกิดจากอะไร? มนุษย์เกิดจากอาหาร ชีวิตนี้ต้องการอาหารเพื่อดำรงชีวิต แล้วเรากินอาหารเข้าไปเพื่อดำรงชีวิต แล้วมันดำรงชีวิตแล้วมันเหลือไว้ขนาดไหน สะสมไว้ร่างกายนี้

ถ้าเราถือศีล ๘ งดอาหารเย็นนะ นี่ถือศีล ๘ งดอาหารเที่ยง งดอาหาร เห็นไหม แล้วพูดถึงพระปฏิบัตินี่อดนอนผ่อนอาหาร ถ้าเราผ่อนอาหาร ธาตุขันธ์ไม่ทับจิต ถ้าธาตุขันธ์ไม่ทับจิต มันมีความหิว มันมีความกระหายไหม? มันเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่เรากิน ๓ มื้อ ๔ มื้อ แต่เวลาจิตใจมันอยากจะกิน มันมีความหิว มันก็อยากจะกินเป็นธรรมดา

สิ่งนี้ คนเราถ้าจิตมันเป็นธรรม มันเห็นประโยชน์ เห็นไหม การที่เราผ่อนอาหาร หรือการที่เราถือศีล เรางดนี่ ร่างกายมันเคยชิน มันต้องการ มันก็เรียกร้องเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราผ่อนของมันนะ แล้วเรานั่งสมาธิภาวนา เรามีสติของเราขึ้นมา สติมันจะแจ่มชัดมากนะ

นี่เวลาหิวขึ้นมา หิวจนตาสว่างโพลงเลยนะ พอสว่างโพลงนี่เวลาปฏิบัติไป พอปฏิบัติไป ตั้งสติไป สตินี่มันทำให้จิตเรามีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะ เวลากำหนดพุทโธ กำหนดปัญญาอบรมสมาธิมันจะชัดเจน พอชัดเจนขึ้นมานี่ภาวนาไป เห็นไหม

เริ่มต้นเราห้ามอดอาหาร เพราะถ้าคนโง่มันคิดว่าการอดอาหารนั้นเป็นมรรค ผล แต่ถ้าคนฉลาดบอกการอดอาหารนั้นเพื่อบรรเทา เพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์มันแข็งแรง เพื่อให้จิตมันมีโอกาส ระหว่างวัตถุทับหัวใจ กับวัตถุที่มันเบาบางลงแล้วหัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม นี่คนที่มีสติสัมปชัญญะ แต่ถ้าใจเป็นธรรมจะเห็นถึงเหตุร่องรอยที่พระพุทธเจ้าบุกเบิกมา แต่ถ้าใจเป็นโลกนะมันคิดแบบโลก

นี่ความคิดแบบโลก ความคิดแบบสมอง เขามีสมอง เขาศึกษาธรรมะมาก ศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะหมดเลย แต่ธรรมะมาจากสมองไง เขาไม่มีลิ้น ไม่มีปาก เพราะอะไร? เพราะความคิดนี่ ดูสิอย่างตำรา อย่างทางวิชาการ มันเป็นทฤษฎีใช่ไหม? มันเป็นตำราใช่ไหม? มันเป็นฉลากยาใช่ไหม? แต่เนื้อยา ตัวยา มันอยู่ไหน? เนื้อยา ตัวยา แล้วอาหารที่ออกมาจากตำราอาหารนั้นมันผิดหรือมันถูกล่ะ?

ถ้ามีอาหารขึ้นมานี่เราได้ใส่ปากเรานะ เรามีปาก เรามีลิ้น ลิ้นกระทบนี่มันรู้นะ ลิ้นกระทบมันรู้เลยว่ารสชาติเป็นอย่างไร? ถูกต้องเป็นอย่างไร? แต่ถ้าเป็นความคิดๆๆ จากสมองตลอดเวลานี่มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนปฏิบัติอยากจะถึงธรรมนะ อยากจะพ้นจากทุกข์ พอยิ่งศึกษามากยิ่งรู้มาก ยิ่งอยากจะพ้นจากทุกข์มาก ยิ่งโง่มาก โง่จริงๆ

โง่เพราะอะไร โง่เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำมานี่ทำโดยเถรตรงอย่างนั้น ตรงกับกิเลสไง เพราะกิเลสมันทำ เพราะอะไร? เพราะไม่ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เพราะทำความสงบของใจเข้ามาก่อนนี่มันเปลี่ยนฐาน พอมันเปลี่ยนฐานนะ นี่สมถกรรมฐาน.. สมถกรรมฐาน ทำความสงบของใจ

เราพูดถึงความสงบของใจ เขาเข้าใจนะความสงบของใจ แต่ในปัจจุบันนี้เราศึกษาธรรมกันด้วยปัญญาชน เห็นไหม นี่เขาว่าความสงบไม่มีประโยชน์ ความสงบทำให้ลำบากเปล่า ดูสิตั้งแต่เราเป็นเด็กน้อย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้ชราแก่เฒ่า มันต้องมีกำลังไหม? ถ้าร่างกายแข็งแรงมันจะก้าวเดินไปได้ตลอดเวลา นี่จิตมันจะก้าวเดินขึ้นไป มันต้องมีสมถะ

สมถะคืออะไร? สมถะคือจิตที่มันสงบ คือมือที่สะอาด มือที่สะอาดทำสิ่งใดก็สะอาด มือที่ไม่สะอาด ทำสิ่งใดก็สกปรกไปหมด นี่เวลาความคิดมันเกิดจากเรา มันเกิดจากกิเลสทั้งหมดเลย ปัญญาที่เกิดขึ้นมา ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ต่างๆ ความคิดนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นอาชีพ มันเป็นวิชาชีพ

วิชาชีพมันเกิดมาจากไหน? ความคิดมาจากไหน? ความคิดมันเกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากภพ เกิดจากฐีติจิต เคยเห็นฐีติจิตไหม? เคยเห็นที่ต้นของพลังงานไหม ที่กำเนิดของพลังงาน ที่กำเนิดของความคิดมันอยู่ไหน? ถ้าไม่เห็นที่กำเนิดของความคิด มันจะไปเปลี่ยนความคิดได้อย่างไร? คนจะเปลี่ยนระบบความคิด มันต้องเข้าไปที่ต้นกำเนิดของความคิดนั้น ต้นกำเนิดมันอยู่ที่ไหน? จิตสงบเข้าไปนั่นล่ะฐีติจิต

นี่พอจิตสงบเข้าไปนะ ถ้ามีจิตสงบ มรรคมันจะเป็นมรรค ๘ ถ้าไม่มีจิตสงบนะมันเป็นมรรค ๗ ในเมื่อหน่วยกิตมันไม่ครบ หน่วยกิต ๗ หน่วยกิตส่งมันไม่ผ่าน ถ้ามันเป็น ๘ หน่วยกิต นี่มรรค ๘ สัมมาสมาธิจะมีขึ้นไป โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มีสัมมาสมาธิหมดเลย ถ้าสัมมาสมาธินี่ความสงบไม่จำเป็น มรรค ๗ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้

แต่ด้วยความเห็นของเรา เห็นไหม ความเห็น ความรู้ของเรา นี่พุทธศาสน์บัณฑิตนะ มีความรู้ไปหมดเลย.. นี่มันได้ภาษามา ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย พูดถึงความสงบเขาเข้าใจ เขาพอใจถึงความสงบ ความสงบของจิต ฐีติจิต ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันไม่มีกิเลส ไม่มีพันธุกรรมทางจิต ความเคยชินของใจ

พันธุกรรมทางจิตคือจริตนิสัย มันเป็นอนุสัยที่เราไม่ต้องทำเลย มันเป็นสัญชาตญาณ จิตนี้มันสะสมมาจนเป็นสัญชาตญาณ เป็นพลังงานของมัน พลังงานสะอาด พลังงานสกปรก เห็นไหม น้ำเสีย น้ำดี น้ำที่มันมีออกซิเจนมาก ออกซิเจนน้อย นี่มันเป็นพลังงานทางจิต พันธุกรรมของมันมันมี ถ้าพันธุกรรมของมันมี สิ่งที่ทำขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้าไป มันไปเปลี่ยนพันธุกรรมอันนั้น ถ้าเปลี่ยนพันธุกรรมอันนั้น เห็นไหม โลกียะกับโลกุตตระมันเกิดตรงนี้ไง

ถ้าโลกุตตระมันเกิดขึ้นมานะ นี่ความสงบของใจมันมีความสำคัญมาก แต่ขณะที่ความสงบของใจจนถึงพันธุกรรม ถึงฐีติจิต มันเข้าไปนี่มันมีวิธีหลากหลาย แม้แต่กำหนดพุทโธอย่างเดียวนี่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พุทธานุสติกำหนดพุทโธ แต่คำว่าพุทโธมันก็หลากหลาย คนพุทโธมาก พุทโธน้อย พุทโธยาวนาน

คำว่าพุทโธนี่มันทำแต่พันธุกรรมทางจิต มันไม่มีสูตรตายตัว ถ้ามีสูตรตายตัวมันเป็นวิทยาศาสตร์ไง สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ การปฏิบัติแบบวิทยาศาสตร์ การปฏิบัติต้องตามนั้น ผิดหมด! ผิดหมดเพราะมันไม่เข้าไปกับพันธุกรรมของจิตนั้น พันธุกรรมทางจิตที่มันสะสมมาแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน จะไม่เหมือนกัน

การปฏิบัติมันต้องให้เป็นสัจจะความจริง เป็นปัจจุบันธรรมของจิตนั้น ถ้าปัจจุบันธรรมของจิตนั้น เห็นไหม การกระทำนี่มันเหมือนกับช่าง เหมือนกับวิชาชีพ คนมีความชำนาญการต่างๆ ดูสิเราฝึกมาด้วยกัน แต่บางคนชำนาญมาก บางคนจะเข้าใจได้หมดเลย บางคนความชำนาญจะน้อยมาก บางคนถึงทำไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตเวลาปฏิบัติมันต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงของมัน ถ้าเป็นตามข้อเท็จจริงของมัน นี่สัจธรรม นี่ธรรม.. สัจธรรม เห็นไหม ปฏิบัติ! ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ.. ปริยัติ ปฏิเวธไม่มี ปริยัติเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานความเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี้กิเลสมันเอามาใช้ก่อน

เหมือนปัจจุบันนี้ ปัญญาชนๆ ที่เราปฏิบัติกันอยู่นี่ ดูจิตๆ เพราะอะไร? ต้องการให้ถึงฝั่งไวๆ พอให้ถึงฝั่งไวๆ ดูจิตนี่กิเลสมันดูด้วยไง กิเลสมันดูด้วยแล้วกิเลสมันก็สร้างภาพไง สร้างภาพว่านิพพานเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นไง นี่นามรูปเกิดดับๆ เกิดดับ มันดับแล้วมันจะเกิดอีกไหม? มันดับแล้วมันดับไปเลยเป็นไปได้ไหม?

นี่สสารมันเป็นไปได้ เราแปรสภาพสสารไปอีกสสารหนึ่งมันทำได้ แต่สันตติ ธาตุรู้ ความรู้สึกนี้เป็นธาตุอันหนึ่ง เป็นธาตุที่เป็นนามธรรม ถ้าวิปัสสนาไม่เป็นธาตุที่เป็นนามธรรม จะเข้าไปจับต้องไม่ได้ จะเข้าไปศึกษามันไม่ได้ มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นวัตถุเลย ที่จับต้องได้เลย จิตจับจิต! ถ้าจิตจับจิต สิ่งที่มันเกิดดับ อะไรทำให้เกิด? เหตุที่ทำให้เกิด แล้วเหตุที่ทำให้ดับ

“ทุกข์ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์.. ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์”

นี่มันมีเหตุมีผลของมันทั้งหมด แล้วเหตุผลของมัน ถ้ามีเหตุผลของมัน เห็นไหม นี่ภาคปฏิบัติ สิ่งที่ปฏิบัติ นี่ถ้าปฏิบัติเข้าไปถึงสัจจะความจริง รู้จริง ถ้าใจเป็นจริงขึ้นมา พูดเรื่องโลกๆ ก็เป็นธรรม เพราะใจมันเป็นธรรม ใจเป็นธรรมนี่พูดเรื่องศีล ๕ กามคุณ ๕ เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร แม้แต่พูดเรื่องกามก็พูดเพื่อเป็นธรรม

แต่ถ้าใจเป็นโลกนะ พูดถึงธรรมะอวิชชาเลย พูดถึงนิพพานเลย แต่มันเป็นพานอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นพานทำลายตัวเอง ทำลายโอกาสตัวเอง ทำลายโอกาส ทำลายความตั้งใจของตัวเอง เห็นไหม มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะมันจะต้องวางไว้ก่อน ศึกษาแล้วต้องวาง ถ้าเอาการศึกษานั้นมาปฏิบัติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีโอกาสนะมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

การปฏิบัติทุกกระบวนการทั้งหมด ผลของมันคือสมถะหมด ผลของมันคือการปล่อยวางหมด มันไม่มีปัญญาเกิดขึ้นมาให้ได้ แต่ถ้าผลการปล่อยวางคือสมถะทั้งหมด แต่ในสมถะนั้นมันมีมิจฉากับสัมมา สัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ.. พอมันเป็นมิจฉาสมาธิ นี่มันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันเลยเข้าใจว่าสิ่งที่ปล่อยวางนั้นเป็นนิพพาน ปล่อยวางนั้นเป็นผล แล้วเป็นไปไม่ได้

นี่ไงเกิดดับไง เกิดดับขนาดไหนนะมันมีสสารอยู่ มันต้องเป็นไป ในเมื่อกิเลสมันมีอยู่มันต้องเกิด มันต้องเป็นไป มันต้องมีของมัน เห็นไหม นี่เกิดดับๆ ขนาดไหนเป็นไปไม่ได้ มันเป็นมิจฉา ถ้าเป็นสัมมานะเกิดดับ เกิดจากที่ไหน? ดับที่ไหน? ดับแล้วเหลืออะไร? ใครเป็นสถานที่ให้เกิด? เกิดแล้วสิ่งที่ดับ สถานที่ที่ดับมันดับไปแล้วมันเหลือสิ่งใด? มันจะรู้ มันจะเห็นของมันไปนะ

นี่การกระทำ เห็นไหมการศึกษาที่นี่ การกระทำที่นี่ นี่ปฏิบัติ.. ถ้าปฏิบัตินี่รู้ขึ้นมาจากหัวใจ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง ความรู้จำเพาะตน ความรู้จำเพาะตนนะ เพราะอะไร? เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ บอกว่า..

“อานนท์ เราเอาแต่ธรรมของเราไปนะ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย”

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” สมควรแก่เวลาของจิตดวงนั้น สิ่งที่กระทำนั้นให้กาลเวลาของเขา เห็นไหม สมบัติส่วนตน ใจของใครบรรลุธรรม รู้ธรรม มันจะเป็นใจของคนดวงนั้นนะ

เรานี่เราก็มีหัวใจดวงหนึ่ง เราก็มีสิทธิเสมอภาคทุกๆ คนที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่เราปฏิบัติโดยกิเลส ให้กิเลสชักนำไปนะ เราจะปฏิบัติไปโดยสูญเปล่า ตายเปล่าๆ เกิดเปล่าๆ ศึกษาเปล่าๆ รู้ธรรมะเปล่าๆ รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่แหละ รู้เปล่าๆ ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย

แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรา มันเป็นของเราขึ้นมานะ นี่ธรรมะส่วนบุคคล ของเรา เรารู้ มันไปกับเรา กับจิตของเรา นี่ถ้าเราทำจริง รู้จริงขึ้นมา เห็นไหม ตรงนี้มันถึงว่าเราต้องทำ แล้วทำขึ้นมานี่มันจะพิสูจน์ได้ ถ้าใครทำถึงเห็นเหตุเห็นผลจะเข้าใจ ถ้ายังไม่เห็นเหตุเห็นผล เราก็ยังโลเล ยังมีความเห็นของตน ตามกิเลสของเราไป

นี่โลกกับธรรม แล้วใจเรามันเป็น คิดดี คิดชั่ว คิดโลกก็ได้ คิดธรรมก็ได้ ความคิดมันเป็นอนิจจัง มันยังมีเกิดดับอยู่ คิดแล้วพิจารณาเข้าไปถึงที่สุดจนถึงฐีติจิต แล้วไปแก้พันธุกรรม ไปแก้จิตดวงนั้น มันจะเป็นอกุปปะ.. สถานที่เริ่มต้นของความคิดเราดัดแปลงเรียบร้อยหมดแล้ว อกุปปะไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจะคงที่ของมัน สัจธรรมอันนี้พิสูจน์ได้ในหัวใจของเรา เอวัง